เลสเตอร์ ซิตี้

เจมี่ วาร์ดี้ ยิงฉลองนัดอำลาสโมสรเอาชนะ อิปสวิช

เจมี่ วาร์ดี้ ปิดฉากอาชีพอันยิ่งใหญ่กับเลสเตอร์ ซิตี้ อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการยิงประตูที่ 200 ให้กับสโมสร ในเกมที่ “จิ้งจอกสยาม” เอาชนะอิปสวิช ทาวน์ 2-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา 

นี่คือวันที่ทุกอย่างเป็นของชายเพียงคนเดียว ตำนานสูงสุดของสโมสร แชมป์พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, คอมมิวนิตี้ ชิลด์ และแชมป์แชมเปี้ยนชิพสองสมัย เจ้าของรองเท้าทองคำ, อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ, ผู้เขียนนิยายลูกหนังจากลีกล่างสู่ยอดนักเตะระดับโลก

วาร์ดี้ วัย 38 ปี ลงเล่นให้เลสเตอร์ ซิตี้ นัดที่ 500 ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายของเขา พร้อมบอกลาการรับใช้สโมสรอันยาวนานตลอด 13 ปี ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเปลี่ยนการยิงประตูให้กลายเป็นโชว์ เปลี่ยนการฉลองเป็นศิลปะ และในตอนจบของฤดูกาลที่น่าผิดหวัง นี่คือช่วงเวลาที่ “บลูอาร์มี่” รวมใจกันเพื่อขอบคุณ ‘GOAT’ ของพวกเขา

สนามฟิลเบิร์ตเวย์กลายเป็นทะเลธงน้ำเงิน-ขาว พิมพ์ข้อความว่า “Thank You Vards” ต้อนรับดาวยิงอันดับ 3 ตลอดกาลของทีมในช่วงเริ่มเกมอย่างสุดซึ้ง และเมื่อเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้น เขาก็ยืนท่ามกลางบรรดาตำนานของสโมสร เพื่อกล่าวอำลาอย่างเป็นทางการ

ในวันครบรอบของวันที่เขาเซ็นสัญญากับเลสเตอร์ (18 พฤษภาคม 2012) วาร์ดี้จบเรื่องราวของเขาอย่างลงตัว ด้วย ประตูที่ 200 ในนัดที่ 500 เหมือนเทพนิยายที่กลายเป็นจริง

ประตูในนาทีที่ 28 ของเขา สร้างความปีติยินดีทั่วทั้งสนาม เป็นสิ่งที่ทุกคนหวังจะได้เห็น (แม้ยกเว้นแฟนบอลจากซัสเซ็กซ์ก็ตาม) ก่อนที่ เคซี่ย์ แม็คเอเทียร์ จะยิงประตูแรกของเขาในพรีเมียร์ลีกในช่วงครึ่งหลัง เพื่อยืนยันชัยชนะ

แม้การตกชั้นจะถูกประกาศไปแล้ว แต่ชัยชนะนี้ก็ช่วยให้ทีมขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 18 และยังเป็นการสานต่อฟอร์มดีภายใต้การคุมทีมของ รุด ฟาน นิสเตลรอย ฤดูกาลจะจบลงในสุดสัปดาห์หน้าที่พบ เอเอฟซี บอร์นมัธ ก่อนที่สโมสรจะเริ่มวางแผนสำหรับฤดูกาล 2025/26 ฤดูกาลแรกในรอบ 13 ปีที่ไม่มีเบอร์ 9 อันเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา แต่เรื่องราวที่เขาทิ้งไว้ มันคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าคำบรรยาย

วันแห่งความทรงจำ

ก่อนเริ่มเกม อิปสวิช ทาวน์ เป็นหนึ่งใน 48 ทีมที่เคยถูกเจมี่ วาร์ดี้เจาะตาข่ายได้มาก่อน แม้จะเพียงแค่ครั้งเดียวในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2014 แต่ก็ถือว่า “โชคดี” เมื่อเทียบกับทีมอย่าง อาร์เซน่อล และ วัตฟอร์ด (โดนไป 11 ประตู) หรือ ลิเวอร์พูล กับ สเปอร์ส (โดนไป 10 ประตู) ที่รู้ซึ้งถึงพิษสงของเขามากกว่า

จริง ๆ แล้ว เป็นลูกทีมของ เคียร์แรน แม็คเคนน่า ที่เริ่มต้นได้ใกล้เคียงที่สุดในช่วงต้นเกม หลังจากพาทีมเลื่อนชั้นติดต่อกัน ก่อนจะตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ ลีฟ เดวิส ซึ่งเคยโดนไล่ออกในการเจอกันครั้งก่อนที่พอร์ทแมน โร้ด ยิงชนเสาอย่างจังต่อหน้าแฟนบอลฝั่ง Spion Kop แซม มอร์ซี่ เองก็ได้ลองยิงไกล แต่ลูกพุ่งออกไป วาร์ดี้เองมีโอกาสก่อนหน้านั้น แต่ถูก เดวิส และ เจค็อบ กรีฟส์ บีบจนยิงได้แค่ข้างตาข่าย

แต่เพียง 8 นาทีถัดมา สนาม ฟิลเบิร์ตเวย์ ก็ระเบิดเสียงปรบมืออย่างกึกก้อง ไม่เพียงแต่ คิง เพาเวอร์ สเตเดียม จะเต็มแน่นไปด้วยแฟนบอล แต่ยังมีเหล่าแขกพิเศษมาร่วมเป็นสักขีพยานในวันแห่งประวัติศาสตร์นี้ด้วย ไนเจล เพียร์สัน อดีตผู้จัดการทีม และขุนพลแชมป์พรีเมียร์ลีกปี 2016 อย่าง แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล, ชินจิ โอคาซากิ, และ แดนนี่ ดริ๊งค์วอเทอร์ ก็ล้วนมาร่วมในวันสำคัญ

และแล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นจากจังหวะลากทะลุของ เจมส์ จัสติน ที่พาบอลฝ่าหลังแนวรับอิปสวิช ก่อนแทงทะลุช่องสุดงามให้ วาร์ดี้ ที่ยืนตำแหน่งได้อย่างยอดเยี่ยม เขาแตะหลอก อเล็กซ์ พาล์มเมอร์ นายทวารของอิปสวิช ก่อนค่อย ๆ ส่งบอลไหลเข้าประตูไป นี่คือวันแห่งความทรงจำที่ไม่อาจลืมได้ วันของเจมี่ วาร์ดี้

เจมี่ วาร์ดี้ คือผู้เล่นคนที่ 1,051 ที่ได้ประเดิมสนามให้เลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2012 หลังจากการย้ายทีมสุดโด่งดังมูลค่า 1 ล้านปอนด์จากฟลีตวูด ทาวน์ และในวันนี้ ผ่านไป 499 นัด ซึ่งระหว่างนั้นมีผู้เล่นอีก 118 คน เปิดตัวกับสโมสร มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจินตนาการว่าครั้งหนึ่งวาร์ดี้เคยเป็นแค่ “แข้งใหม่ช่วงซัมเมอร์” ที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะรุ่งหรือร่วง วันนี้เขาจากไปในฐานะ ผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาล (GOAT) ชายผู้ที่ดูเหมือนแฟนบอลคนหนึ่งในสนาม, ทุ่มเททุกอย่างเพื่อโลโก้บนหน้าอก, และทำทุกอย่างเพื่อทีม เขายิงได้ 111 ประตูในพรีเมียร์ลีกหลังอายุ 30 ปี มากกว่านักเตะคนใดในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในหลายสถิติที่สะท้อนเส้นทางอันมหัศจรรย์ของเขา

แต่ประตูสุดท้ายของเขา กลับกลายเป็นช็อตที่ทำให้ทั้งสนามสั่นสะเทือน ท่ามกลางแดดกลางเดือนพฤษภาคม เรื่องราวอันขมขื่นของฤดูกาลนี้ดูเหมือนจะเลือนหายไปชั่วขณะ การตกชั้นคือเรื่องที่เจ็บปวดสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสโมสร และไม่มีทางปฏิเสธได้ แต่ผลการแข่งขันกลับกลายเป็นเพียงฉากหลัง เพราะทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่การอำลาของวาร์ดี้ นี่คือวันที่มีไว้เพื่อกล่าวคำขอบคุณ และเฉลิม

ฉลองช่วงเวลาแห่งเกียรติยศที่เราได้แบ่งปันกันมาตลอด หลังจากประตูของวาร์ดี้, เคซี่ย์ แม็คเอเทียร์ ก็ใส่ชื่อของเขาในประวัติศาสตร์ ด้วยการยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกให้กับเลสเตอร์ ในนาทีที่ 68 มันช่วยให้มั่นใจว่า วันอำลาของวาร์ดี้จะจบลงด้วยชัยชนะ เหนือทีม อิปสวิชที่ก็มีโอกาสของตัวเอง โอมาริ ฮัตชินสัน และอดีตดาวรุ่งเลสเตอร์อย่าง จอร์จ เฮิร์สต์ ก็เกือบจะทำให้ฝันสลายได้ในครึ่งหลัง แต่เมื่อประตูของวาร์ดี้ค่อย ๆ กลิ้งข้ามเส้น สนามทั้งสนามก็ระเบิดเสียงเฮ เพราะพวกเรารู้ว่ามันมีความหมายต่อเขามากแค่ไหนเขาบอกไว้ก่อนเกมแล้วว่า “มันจะมีความหมายทุกอย่าง” ถ้าเขาได้มอบรอยยิ้มให้กับบลูอาร์มี่เป็นครั้งสุดท้าย และของขวัญลำลึกชิ้นสุดท้ายนั้น ก็คืออีกหนึ่งในโมเมนต์ “ผมอยู่ที่นั่น” ที่จะถูกจดจำตลอดไป

ฮีโร่ผู้ล่วงลับอย่าง อาเธอร์ แชนด์เลอร์ และ อาเธอร์ โรว์ลีย์ อาจเคยยิงประตูให้เลสเตอร์ได้มากกว่า เกรแฮม ครอสส์ และ อดัม แบล็ก อาจลงสนามให้ทีมมากกว่า และชื่อเหล่านั้นจะยังคงถูกจารึกในประวัติศาสตร์ของสโมสรอย่างถูกต้องชอบธรรมตลอดไป

แต่สิ่งที่ เจมี่วาร์ดี้ ทำได้ ในยุคที่ฟุตบอลเดินทางมาถึงจุดสูงสุด เรื่องราวระดับประวัติศาสตร์ ไม่เพียงแต่เขาจะกลายเป็นผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดใน ประวัติศาสตร์ 141 ปีของสโมสร แต่ยังยืนตระหง่านในฐานะหนึ่งในตำนานลูกหนังอังกฤษอย่างไร้ข้อกังขา

หลังจบเกม วาร์ดี้ ก้าวออกมาในพิธีอำลา รายล้อมด้วยเพื่อนร่วมทีมทั้งในอดีตและปัจจุบัน ขนาบข้างด้วยครอบครัวของเขา และเดินเคียงข้าง คุณต๊อบอัยยวัฒน์ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสร วาร์ดี้เดินผ่าน Guard of Honour อันทรงเกียรติ ที่มีไว้เพื่อเขาคนเดียว

เขาได้รับของขวัญจากสโมสร จิ้งจอกทองคำ, สมุดภาพพิเศษ และในฐานะเซอร์ไพรส์สุดท้าย รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของเลสเตอร์ซิตี้และแน่นอน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ควรจะกล่าวคำสุดท้ายผ่านไมโครโฟนในสนาม เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่สะเทือนใจว่า: “จากก้นบึ้งของหัวใจ… ขอบคุณที่ต้อนรับผมและครอบครัวให้เป็นส่วนหนึ่งของพวกคุณ”